อ.นพ.ณัฐพล เลาหเจริญยศ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคไต
รหัสเอกสาร PI-IMC-425-Rev.00
อนุมัติวันที่ 31 พฤษภาคม 2567
โดยทั่วไปเมื่อคนเราอายุมากกว่า 30 ปี ไตจะเริ่มทำงานลดลงหรือเสื่อมลงตามธรรมชาติ โดยเฉลี่ยทำงานลดลงร้อยละ 1 ต่อปี ในกรณีที่ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรือหยุดทำงานทันที เรียกว่า ไตวายเฉียบพลัน ซึ่งการทำงานของไตอาจกลับมาเป็นปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ทันท่วงที แต่ถ้าไตเสื่อมลงอย่างช้าๆ ต่อเนื่อง หรือมีความผิดปกติของไตเกินกว่า 3 เดือน เราจะเรียกว่า โรคไตเรื้อรัง
สาเหตุของโรคไตเรื้อรังที่พบบ่อย ได้แก่
1. เป็นโรคเรื้อรังอยู่เดิม เช่น เบาหวาน , ความดันโลหิตสูง , โรคเอสแอลอี (โรคพุ่มพวง) , โรคเกาต์ , นิ่วในไต
2. ผลข้างเคียงจากยาและสารเคมีต่างๆ ได้แก่ ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือที่มักเรียกกันว่ายาแก้อักเสบ , ยาแก้ปวดข้อ , ยาลดความดันโลหิตบางชนิด , ยาปฏิชีวนะ และรวมถึงยาลดความอ้วนบางตัว
3. กรรมพันธุ์ หรือความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรคถุงน้ำในไต
เบาหวาน เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด ที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง
ระยะที่ 1 การทำงานของไตยังคงปกติหรือมากกว่าร้อยละ 90 แต่ตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น ปัสสาวะมีตะกอนผิดปกติ หรืออาจพบโปรตีนมากกว่าปกติในปัสสาวะ แพทย์มักบอกว่าเริ่มตรวจพบความผิดปกติของไต
ระยะที่ 2 ไตทำงานเหลือร้อยละ 60-90 เรียกว่า ไตเรื้อรังระยะเริ่มต้น
ระยะที่ 3 ไตทำงานเหลือร้อยละ 30-60 เรียกว่า ไตเรื้อรังระดับปานกลาง
ระยะที่ 4 ไตทำงานเหลือร้อยละ 15-30 เรียกว่า ไตเรื้อรังค่อนข้างมาก
ระยะที่ 5 ไตทำงานเหลือน้อยกว่าร้อยละ 15 เรียกว่า ไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
แพทย์จะเป็นผู้แบ่งระยะของโรคและบอกแก่ผู้ป่วย โดยทำการเจาะตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ รวมไปถึงการอัลตราซาวด์ดูลักษณะของไต
อาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
โรคไตเรื้อรังเป็นภัยเงียบ ซึ่งมักไม่แสดงอาการให้เห็นได้ชัดเจน จนกระทั่งเมื่อไตเสื่อมมากแล้ว อย่างไรก็ตามมี อาการสำคัญบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณเตือน ว่าท่านอาจมีโรคไตซ่อนอยู่ และควรไปพบแพทย์
อาการเริ่มต้นของโรคไต
1. อาการปัสสาวะแสบขัดที่เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ปกติมักจะพบในเพศหญิง แต่หากพบในเพศชายอาจต้องไปตรวจเพิ่มเติมว่ามีโรคนิ่วระบบไต หรือความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะอื่นๆ หรือไม่
2. อาการปัสสาวะลำบาก ต้องเบ่งแรง ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือปัสสาวะสะดุดกลางคัน บ่งบอกถึงว่ามีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย หรือมดลูกหย่อนในเพศหญิง
3. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ ในคนปกติเมื่อเรานอนหลับ 6-8 ชั่วโมง มักจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ หรืออาจตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางคืนได้ 1-2 ครั้ง เนื่องจากในตอนกลางคืน ไตจะดูดกลับน้ำมากขึ้น ทำให้การขับปัสสาวะลดลง แต่ในคนที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ไตจะดูดกลับน้ำได้ไม่ดี ทำให้ต้องลุกมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ อีกโรคที่ทำให้มีอาการนี้ คือ เบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะไตเรื้อรังเช่นกัน
4. ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ เลือด หรือขุ่นกว่าปกติ ซึ่งบ่งบอกว่ามีเลือดปน หรือมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ สาเหตุ เช่น มีนิ่ว , ไตอักเสบ หรือเนื้องอกทางเดินปัสสาวะ
5. อาการบวมรอบตา บวมหน้า บวมเท้า อาการบวมที่หน้าสังเกตได้ง่ายเวลาตื่นนอน ส่วนเท้าบวมอาจพบเมื่อเข้าช่วงบ่าย หรือยืนนานๆ ใช้มือกดที่เท้าหรือหน้าแข้งจะมีรอยบุ๋ม อาการบวมนี้อาจพบได้ในโรคหัวใจ โรคตับหรือโรคไต
เมื่อเริ่มเข้าสู่โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ไตจะเริ่มขับน้ำและของเสียออกทางปัสสาวะไม่ได้ตามปกติ ทำให้เริ่มมีอาการต่างๆ เช่น
- รู้สึกไม่สบาย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ง่วงซึม สับสน เนื่องจากมีของเสียในร่างกายมากขึ้น
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียจากภาวะซีด เนื่องจากไตสร้างฮอร์โมนสร้างเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ
- บวมในตำแหน่งต่างๆ เช่น เปลือกตา ข้อเท้า เท้า หน้าแข้ง เนื่องจากไตกำจัดน้ำส่วนเกินออกไม่ได้ เมื่อมีน้ำสะสมในร่างกายมากขึ้น จะเกิดภาวะน้ำท่วมปอดและหายใจลำบาก
- ความดันโลหิตสูง ทำให้มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง อ่อนเพลีย และเป็นโรคหัวใจได้
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ รับการตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
การชะลอการเสื่อมของไต
- ดูแลโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของไตเรื้อรัง เช่น ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับไม่เกิน 130/80 มิลลิเมตรปรอท ควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในช่วง 80-120 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (มก./ดล.) หรืออย่างน้อยต้องไม่เกินกว่า 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (มก./ดล.) รับการรักษาอย่างต่อเนื่องในโรคที่เป็นเรื้อรัง เช่น ไตเสื่อมจากเอสแอลอี นิ่ว หรือถุงน้ำในไต
- พักผ่อนให้เพียงพอ (อย่างน้อย 6 - 8 ชั่วโมงต่อวัน)
- หลีกเลี่ยงความเครียด
- ดื่มน้ำบริสุทธิ์สะอาดให้เพียงพอ วันละ 1.5 - 2 ลิตรต่อวัน การดื่มน้ำบาดาลอาจทำให้เกิดโรคนิ่วได้ แต่ต้องระวังการดื่มน้ำมากเกินไป อาจทำให้ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ แต่ถ้าไตไม่ดีและเริ่มบวม แพทย์จะแนะนำให้เริ่มจำกัดน้ำ
- การดูแลเรื่องอาหาร ลดทานอาหารเค็ม ลดอาหารมัน ลดโปรตีน ลดทานผักผลไม้ (แพทย์จะอธิบายแก่ผู้ป่วยในแต่ละระยะเอง)
- การออกกำลังกายที่เหมาะสมเป็นพิเศษ คือ การออกกำลังกายชนิดต่อเนื่อง เช่น การเดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค การยกน้ำหนัก (แต่ไม่ควรหนักเกินไป) ออกกำลังกายประมาณวันละ 30-60 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ไม่ควรออกกำลังกายจนเหนื่อยถึงขั้นไม่สามารถพูดเป็นคำๆได้ ควรออกกำลังช่วงเช้าหรือเย็น และควรหยุดออกกำลังกายเมื่อรู้สึกเหนื่อย หายใจไม่ทัน เจ็บหน้าอก รู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ แน่นท้อง ตะคริว เวียนศีรษะ จะเป็นลม
- ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วนเกินไป
- หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อไต เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน ถ้าใช้ติดต่อกันก็อาจจะทำให้ไตเสื่อมได้ ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (ยาแก้อักเสบ แก้ปวดข้อ) ยาอื่นๆ เช่น พวกสมุนไพรบางอย่าง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงยาเสพติด เฮโรอีน โคเคน ยาอี (เอคสตาซี) กัญชา
- เพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นข้อห้าม แต่การเป็นโรคไตเรื้อรังอาจทำให้ความต้องการทางเพศลดลง
- หยุดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ
- ระวังอย่าให้เกิดท้องเสีย ถ้ามีท้องเสียควรทานน้ำให้พอ
- อย่าหลงคำโฆษณาชวนเชื่อ
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานยาตัวใหม่ๆ เสมอ