อ.นพ.อดิศักดิ์ กิตติสาเรศ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทและสมอง
รหัสเอกสาร PI-IMC-235-R-00
อนุมัติวันที่ 24 กันยายน 2563
อาหารเป็นเรื่องใกล้ตัวและสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ดังจะเห็นได้ว่า สุขภาพจะดีหรือไม่ สามารถปรับได้ง่ายๆ ด้วยการปรับการรับประทานอาหาร ซึ่งนอกจากเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญสำหรับบุคคลทั่วไปในการป้องกันโรคอีกด้วย ในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมนั้น การได้รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีไปได้ยาวนาน นอกจากนี้การจัดตกแต่งอาหารให้สวยงาม น่าสนใจ การมีกิจกรรมร่วมกันในมื้ออาหาร ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นด้วย
รับประทานอย่างไรให้เหมาะสม
การดูแลและจัดการด้านอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม อาจแบ่งได้ 3 ระยะ ดังนี้
ระยะแรก สามารถให้รับประทานอาหารทางปาก ดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ จัดอาหารที่เคี้ยวง่าย มีความหลากหลายของสารอาหารและพลังงานที่เหมาะสม หากมีปัญหาสามารถให้รับประทานในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง สามารถแบ่งอาหารเป็น 4-8 มื้อต่อวัน ตามความเหมาะสม จัดบรรยากาศให้เป็นไปในแบบที่ผู้ป่วยชอบและคุ้นเคย
ระยะกลาง ในการรับประทานอาหาร อาจจะเริ่มมีปัญหาในการรับประทานอาหาร บางรายลืมอิ่ม คือ รับประทานอาหารแล้วจำไม่ได้ จะขอรับประทานเพิ่ม และในบางรายเป็นในแบบตรงกันข้าม คือ ลืมหิว คิดว่าตนเองรับประทานไปแล้ว ปฏิเสธอาหารทั้งวัน ทำให้มีอาการผ่ายผอมลง ปัญหาในช่วงนี้อาจแก้โดยการจัดอาหารในปริมาณพอเหมาะที่ผู้ป่วยรับได้หรือควรจะรับประทาน แล้วให้รับประทานอาหารหลายมื้อมากขึ้น หากสังเกตเห็นว่าน้ำหนักมากไป ก็จัดอาหารพลังงานต่ำ เช่น ผักและผลไม้ให้เพิ่ม ในขณะที่หากดูว่าขาดพลังงาน ก็ควรจัดอาหารที่มีพลังงานสูงหรืออาหารเสริมทางการแพทย์ควบคู่ไปด้วย
ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยเริ่มมีปัญหาด้านการกลืนอาหาร นอนติดเตียง ต้องการการดูแล การจัดอาหารทางสายยาง ให้มีสารอาหาร วิตามิน และพลังงานที่เพียงพอ
เคล็ดลับการจัดการและดูแลผู้ป่วยช่วงการรับประทานอาหาร
- ประเมินความสามารถในการเคี้ยวและกลืนของผู้ป่วย เพื่อกำหนดความหยาบหรือละเอียดของอาหารอย่างเหมาะสม
- ให้ผู้ป่วยเลือกทานอาหารที่ตนเองชอบ โดยเลือกเป็นอาหารชนิดที่คุ้นเคย
- ถ้าผู้ป่วยมีโรคที่ต้องจำกัดเกลือและน้ำตาล ควรเก็บอาหารรสหวานจัด เค็มจัดหรือเครื่องปรุงเก็บใส่ตู้ไว้ให้มิดชิด
- จัดปริมาณอาหารและสัดส่วนอาหารให้เหมาะสม
- ปรับอุณหภูมิอาหารให้เหมาะสม
- อาหารบนโต๊ะควรมี 2-3 อย่าง ควรใช้จานสีเรียบ สีแตกต่างจากสีโต๊ะอาหาร
- ช้อนส้อมมีด ควรมีด้ามใหญ่ จับถือสะดวก
- แบ่งอาหารให้พอดีคำ เตรียมใส่ช้อนไว้ เน้นให้ตักเอง หากสามารถทำเองได้
- ปรับเวลารับประทานอาหารให้เหมาะสมกับการพักผ่อน นอนหลับและออกกำลังกาย
- พยายามคงบรรยากาศสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ของการรับประทานอาหาร เช่น เวลา ตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ที่ใช้เป็นประจำ
- จัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อในการรับประทาน ไม่มืดหรือสว่างเกินไป และไม่ร้อนหรือหนาวไป
- ปิดทีวีหรือลดเสียงที่รบกวน เสริมสร้างบรรยากาศที่ผู้ป่วยชอบ ช่วงผู้ป่วยรับประทานอาหาร
- มองว่ามื้ออาหารเป็นเวลาที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้ป่วย คนในครอบครัวร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
- เฝ้าดูผู้ป่วยขณะรับประทานอาหาร เพื่อช่วยเหลือเมื่อจำเป็น รวมทั้งเฝ้าระวังการสำลักน้ำและอาหาร
- ไม่ตำหนิ เมื่อผู้ป่วยทำอาหารหกเลอะเทอะ
- ไม่ควรเร่งผู้ป่วยให้รับประทานอาหารเร็ว
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำพอเพียงในแต่ละวัน
- อาจมีกิจกรรมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการทำอาหารที่ทำง่ายๆ มุ่งความสำเร็จ เช่น การทำแซนวิช การห่อเกี๊ยว การปั้นแป้ง
อาหารประเภทไหน ช่วยป้องกันและชะลออาการของโรคสมองเสื่อม
- โอเมก้า 3 (Omega 3) โดยจะพบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาซาบะ ปลาแซลมอน ปลาโอ (รับประทาน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์)
- อาหารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เนื่องจากอนุมูลอิสระเป็นพิษต่อเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งเซลล์สมอง พบมากในลูกพรุน สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ลูกม่อน ผลทับทิม แอปเปิ้ล เป็นต้น สำหรับเครื่องเทศพบมากในพริก พริกไทย กระเทียม ขิง
- โคลีน (Choline) เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่เรียกว่า อะเซทิลโคลีน พบมากในถั่วเหลือง ไข่แดง ถั่วลิสง ผักใบเขียว ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง ปลา จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง กล้วย ข้าวโพด เครื่องในสัตว์ กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก
- อาหารในกลุ่มแป้ง (Carbohydrate) ควรเน้นเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต และธัญพืช
- วิตามินและเกลือแร่เสริม (Vitamins and Mineral supplements) รับประทานอย่างเหมาะสม (ตามที่แพทย์พิจารณา)
เพียงดูแลอาหารในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม ก็จะช่วยให้ตัวเราเองและผู้ที่เราดูแลแข็งแรง มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้