ความรู้จากแพทย์ศรีพัฒน์

ข้อกังวลยอดฮิตของคุณแม่มือใหม่



อ.พญ. กรองพร องค์ประเสริฐ

กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

รหัสเอกสาร SD-HA-IMC-114-R-00

อนุมัติวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559


             

ในช่วงเดือนแรกของคุณแม่มือใหม่ บางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าอาการและพฤติกรรมต่าง ๆของลูกเป็นปกติหรือไม่ ประเด็นที่คุณแม่มักจะรู้สึกสงสัยและเป็นกังวลอยู่บ่อย ๆ ได้แก่

 

              เลือดออกจากสะดือ ในภาวะปกติสายสะดือจะแห้งและหลุดเองภายใน 1-2 สัปดาห์หลังคลอด เมื่อหลุดอาจมีเลือดซึมออกมาได้บ้างเป็นเรื่องปกติ ระหว่างที่ยังไม่หลุดควรทำความสะอาดด้วยการเช็ดตัว ซับรอบ  อย่างเบามือ ที่สำคัญคือพยายามให้แห้งอยู่ตลอดเวลา ควรใช้เสื้อผ้าหลวม ถ้าหากขอบผ้าอ้อมสูงเลยสายสะดือ ควรใช้กรรไกรตัดส่วนเกินนี้ออก ไม่ควรโรยแป้งฝุ่นหรือช่วยดึงสายสะดือให้หลุดออก เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย 


              การมองเห็นและการได้ยิน ทารกสามารถมองเห็นได้ไกล 8-12 นิ้วตั้งแต่แรกเกิด ประมาณระยะห่างขณะที่ลูกดูดนมจากเต้ามองมาที่ใบหน้าของแม่ สีที่มองได้ชัดที่สุด คือ สีขาวดำตัดกัน การได้ยินของทารก พัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่แรกเกิด เสียงที่ทารกสนใจที่สุด คือ เสียงของผู้หญิง ดังนั้นการที่ลูกได้ดูดนมจากอก สบตา และได้ยินเสียงแม่ จึงเป็นสิ่งที่ลูกสามารถสัมผัสถึงความสุขได้อย่างเต็มอิ่ม


              วางนอนแล้วตื่นทุกที ต้องอุ้มตลอดเวลา การนอนของเด็กทารกมี 2 ระยะ คือ หลับตื้นและหลับลึก คุณแม่สามารถสังเกตเองได้ว่าลูกหลับอยู่ในระยะไหน ในระยะหลับตื้น จะเห็นลูกตากลิ้งไปมาใต้เปลือกตาที่ปิดอยู่ จังหวะการหายใจยังไม่สม่ำเสมอ อาจนอนดิ้น ถอนหายใจ ทำปากเหมือนดูดนมหรือยิ้ม ในช่วงนี้จะถูกปลุกตื่นได้ง่าย ส่วนในระยะหลับลึก ลูกตาจะไม่กลิ้งไปมา หายใจช้าลงและเป็นจังหวะ 



              สะอึกบ่อย การสะอึกเกิดจากการหดตัวแบบผิดจังหวะของกล้ามเนื้อกระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่กั้นระหว่างปอดและช่องท้อง มีหน้าที่ช่วยในการหายใจ การหดตัวแบบผิดจังหวะนี้เกิดจากการที่กระบังลมถูกรบกวน เช่น หลังทานนมอิ่ม ๆ ทารกอายุน้อยกว่า 3-4 เดือน ส่วนมากจะมีอาการสะอึกบ่อย ๆ และหยุดได้เองเป็นเรื่องปกติ แต่ในกรณีที่มีอาการสะอึกบ่อยและเป็นอยู่นานมากจนรบกวนการกินหรือการนอน ควรปรึกษาแพทย์ 


              แหวะนมบ่อย อาการแหวะนม พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด โดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรก ทั้งนี้เกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับนมเป็นของเหลวทำให้ไหลย้อนออกมาได้ง่าย ลักษณะนมที่แหวะออกมาอาจเป็นน้ำนมเหมือนกับนมที่ดูดเข้าไป หรือเป็นลิ่มคล้ายเต้าหู้ สีขาว มีเมือกใส  ปน อาจมีปริมาณเล็กน้อยไหลย้อยที่มุมปาก หรือบางครั้งอาจจะแหวะมากจนออกมาทั้งทางปากและจมูกจนคุณแม่กังวล ในกรณีที่หลังแหวะนมแล้วทารกยังดูดนมต่อได้ ดูอารมณ์ดี และเจริญเติบโตเป็นปกติ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง 


              ขอดูดนมตลอดเวลา การดูดนมของทารกแบ่งเป็น 2 แบบ คือ ดูดเพื่อให้ได้น้ำนมกับดูดเล่น ช่วงที่ทารกหิว ต้องการดูดเพื่อให้ได้น้ำนม คุณแม่จะรู้สึกว่ามีแรงดูดจากช่องปาก ลิ้นเคลื่อนเป็นลอนคลื่น ไล่จากลานนมไปด้านหัวนมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อดูดไปสักระยะ คุณแม่อาจรู้สึกว่าการดูดเปลี่ยนไปเหมือนเป็นการดูดเล่น สังเกตได้จากแรงดูดที่ลดลง ดูดไม่สม่ำเสมอ บางครั้งเหมือนอมหัวนมไว้เฉย ข้อสังเกตที่จะช่วยให้คุณแม่มั่นใจได้ว่าลูกได้น้ำนมพอเพียง โดยสังเกตจากการที่ลูกนอนหลับได้นาน ครั้งละประมาณ 2 ชั่วโมงหลังดูดนมอิ่ม ปัสสาวะมีสีเหลืองอ่อนใส มีปริมาณปัสสาวะชุ่มผ้าอ้อมประมาณวันละ 6-8 ครั้ง

 

              เบ่งหน้าดำหน้าแดง ทารกบางคนอาจเบ่งนานถึง 10 นาทีก่อนจะถ่ายอุจจาระออกมาได้ โดยมีลักษณะอุจจาระนุ่มเป็นปกติ หลังถ่ายเสร็จสามารถเล่นหรือนอนหลับต่อได้และดูสบายดี อาการเช่นนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Infant dyschezia เกิดจากทารกยังไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อช่องเชิงกรานให้คลายตัวในจังหวะที่สัมพันธ์กับการเบ่ง หรือเรียกง่าย ว่าเบ่งถ่ายอุจจาระยังไม่เก่ง พบอาการแบบนี้ได้ประมาณร้อยละ 17 ในเด็กอายุ 1 เดือน และประมาณร้อยละ 6 ในเด็กอายุ 3 เดือน ส่วนมากอาการนี้จะหายไปก่อนอายุ 6 เดือน เพราะทารกเรียนรู้ที่จะเบ่งถ่ายอุจจาระได้แล้ว 


              แผลจากการปลูกฝี ปฏิกิริยาทั่วไปจากการปลูกฝี คือ ระหว่างสัปดาห์ที่ 2-3 จะเกิดตุ่มแดง บริเวณที่ฉีด ตุ่มจะโตขึ้นช้า กลายเป็นฝีเม็ดเล็ก  และมีหัวหนอง เมื่อฝีแตกจะเกิดเป็นแผลกว้าง 4-5 มิลลิเมตร ไม่จำเป็นต้องใส่ยา เพียงใช้สำลีชุบน้ำเช็ดรอบแผลให้สะอาดก็พอ แผลจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็จะแห้งเป็นปกติ แต่ถ้าแผลเป็น  หาย  นานกว่านี้ หรือต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต แดง เจ็บหรือเป็นหนอง ควรปรึกษาแพทย์ 

  

              ผื่นต่าง ทารกที่มีสุขภาพดีทั่วไป อาจพบผื่นตามแก้มตามตัวได้ ส่วนมากไม่ทำให้ทารกรู้สึกเจ็บหรือคัน และมักจะจางหายไปได้เอง ผื่นที่พบบ่อย ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายและจางหายไปเอง ได้แก่

 

              สิวเม็ดข้าวสาร (Milia) พบได้ตั้งแต่แรกเกิด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเดี่ยว สีขาวหรือเหลืองอ่อน ขนาด 1-2 มิลลิเมตร พบที่จมูก แก้มคางและหน้าผากได้บ่อย จะหลุดหายไปเองเมื่ออายุ 3-4 สัปดาห์ 


             Erythema toxicum neonatorum มักจะเริ่มสังเกตได้หลังคลอดไม่กี่วัน ลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดง หรือเป็นจุดหนองเล็ก  ขนาด 1-3 มิลลิเมตร บนฐานสีแดง พบได้ทั่วตัว เป็นอยู่นาน 2-16 วัน ก่อนจะยุบหายไปเอง บางส่วนจะขึ้น ยุบ ย้ายที่ไปเรื่อย ในช่วง 1-2 เดือนแรก 


             เซบเดร์ม (Seborrheic dermatitis) พบได้ตั้งแต่ช่วง 6 สัปดาห์หลังคลอด ลักษณะเป็นสะเก็ดหนา สีเหลืองเป็นมัน ติดเป็นแผ่น พบบ่อยบริเวณกระหม่อมและคิ้ว ส่วนมากจะหายไปหมดในช่วงอายุ 6-12 เดือน ส่วนผื่นที่อาจเป็นอันตราย ได้แก่ ผื่นที่ลุกลามเร็ว ลักษณะนูนแบบลมพิษ ผิวแห้งแตก มีน้ำเหลืองซึมออกมา มีผื่นร่วมกับไข้ หรือลูกดูไม่สุขสบาย ควรปรึกษาแพทย์

 

แหล่งข้อมูล : http://www.dailynews.co.th/article/335750

 

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Call Center : 0-5393-6900-1
Line iD : @sriphat
หรือ เพิ่มเพื่อนใน LINE ด้วยคิวอาร์โค้ด

Facebook : SriphatMedicalCenter