ความรู้จากแพทย์ศรีพัฒน์

อ้วนไปหรือผอมไป รู้ได้ด้วยค่าดัชนีมวลกาย




อ.พญ.เคียงญาดา ยาคล้าย

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

รหัสเอกสาร PI-IMC-210-R-01

อนุมัติวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567


       การประเมิณสัดส่วนของร่างกายว่ามีความสมส่วนหรือไม่ นิยมใช้ "ค่าดัชนีมวลกาย" (Body Mass Index : BMI) ตรวจได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก โดยมีสูตร คือ น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร)2  ซึ่งมีเกณฑ์ค่าดัชนีมวลกายสำหรับคนเอเชีย ดังนี้


-  น้ำหนักน้อย คือ BMI < 18.5 kg/m2


-  น้ำหนักปกติ คือ BMI 18.5 – 22.9 kg/m2


-  น้ำหนักเกิน คือ BMI 23 – 24.5 kg/m2


-  โรคอ้วน คือ BMI 25 – 29.9 kg/m2


-  โรคอ้วนรุนแรง คือ BMI ≥ 30.0 kg/m2


                        

น้ำหนักน้อย (ดัชนีมวลกายน้อยกว่า 18.50)


        ภาวะผอมหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ อาจเกิดจากหลายสาเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะทุพโภชนาการ การสูบบุหรี่เป็นประจำ การใช้สารเสพติดหรือการเจ็บป่วย อันอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุร่วมและวางแผน การรักษาอย่างเหมาะสม


        ในกรณีของผู้หญิงที่ผอมอาจมีผลให้รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีบุตรยาก มีโอกาสเป็นหมันสูงขึ้น และหากตั้ง ครรภ์ก็อาจแท้งหรือมีบุตรที่ไม่แข็งแรงได้ ดังนั้น การเพิ่มน้ำหนักให้ปกติก่อนตั้งครรภ์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนอกจากความผอมจะนำมาซึ่งสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนต่อไปในอนาคตได้มากกว่าคนทั่วไป และเมื่ออายุมากขึ้นจะทำให้มีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อระหว่างการเจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว เป็นผลทำให้ฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยได้ช้ากว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ

 

น้ำหนักปกติ (ดัชนีมวลกาย 18.50 - 22.99)


        น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือมีรูปร่างสมส่วน ซึ่งต้องพยายามดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักไว้ในระดับเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยรับประทานอาหารให้ได้สัดส่วนและครบหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเฝ้าระวังภาวะเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัย


  

น้ำหนักเกิน หรือรูปร่างท้วม (ดัชนีมวลกาย 23.00-24.99)


        ภาวะน้ำหนักเกินและอาจนำไปสู่ภาวะอ้วน แสดงถึงการที่เริ่มมีความเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้หากมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังนำไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อมและกระดูก รวมถึงโรคอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น เคล็ดลับสำหรับภาวะน้ำหนักเกิน จึงมี     3 งด 3 ลด และ 3 เพิ่ม ดังนี้

 

3 งด     - งดขนม งดมัน และแอกอฮอล์


3 ลด     - ลดแป้ง น้ำตาล และเครื่องดื่มรสหวาน


3 เพิ่ม    - เพิ่มผัก ปลา ธัญพืช

 

โรคอ้วน (ดัชนีมวลกาย 25.00-29.99)


        การมีน้ำหนักสูงกว่ามาตรฐาน ก่อให้เกิดไขมันส่วนเกินมากกว่าปกติ ซึ่งสามารถไปสะสมในแต่ละส่วนของร่างกายตั้งแต่ระดับชั้นใต้ผิวหนัง ตามผนังเส้นเลือด และเกาะที่ตับได้ นำมาสู่ภาวะอ้วนลงพุง ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันโลหิตสูงเพิ่มความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะนอนกรนจนหยุดหายใจ นอกจากนี้ยังอาจเป็นเหตุของข้อเข่าเสื่อม โรคเก๊าท์ และโรคเส้นเลือดสมอง จนถึงการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ามีสาเหตุอื่นร่วมให้เกิดภาวะอ้วน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมอีกครั้ง รวมทั้งมีเคล็ดลับสำหรับโรคอ้วน คือ 3 สกัด 3 สะกิด และ 3 สะกดใจ ดังนี้


3  สกัด     - สิ่งกระตุ้นที่ทำให้หิว


สะกิด    - ให้คนรอบข้างช่วยเตือนเรื่องการดูแลอาหารและกระตุ้นให้ออกกำลังกาย


3 สะกดใจ  - ไม่ให้บริโภคเกินขนาด และลดปริมาณจากการรับประทานปกติ


 

โรคอ้วนรุนแรง (ดัชนีมวลกายเท่ากับหรือมากกว่า 30)


        การมีน้ำหนักเข้าเขตอันตราย ทำให้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่รุนแรงหลายๆ อย่าง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไขมันเกาะตับ (อันนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้) โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเก๊าท์ ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น


        นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ 5 เท่า โรคหลอดเลือดสมองที่นำไปสู่อัมพฤกษ์ อัมพาตและอัลไซเมอร์ เสี่ยงต่อการมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ 3 เท่า อ้วนลงพุงเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ 2.1 เท่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโรคอ้วนรุนแรง จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และควรต้องลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ซึ่งหัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักอย่างถาวร คือ รับประทานอาหารไขมันต่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน เน้น ผัก ปลา และธัญพืช รวมทั้งเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงโรคต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ