ความรู้จากแพทย์ศรีพัฒน์

โรคไวรัสตับอักเสบบี


อ.นพ.ชัยวรรธน์  ประดิษฐ์ทองงาม 

อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหารและตับ 

รหัสเอกสาร PI-IMC-051-R-01

อนุมัติวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567


        โรคไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคที่มีการติดเชื้อของตับจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีผลให้เกิดอันตรายต่อตับและก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ตับแข็งและมะเร็งตับได้ ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีทั่วโลกประมาณ 350-400 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยพบมีผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี ประมาณร้อยละ 6-10 ของประชากรทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 6-7 ล้านคน โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้หลายทาง ดังนี้


• จากมารดาสู่ทารก


• ติดต่อทางเพศสัมพันธ์


• ติดต่อทางการได้รับเลือด หรือผลิตภัณฑ์ของเลือด 


• จากการสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่งต่างๆ รวมถึงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสักหรือฝังเข็ม 



อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี


อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี แบ่งเป็น 2 ระยะคือ


1. ระยะเฉียบพลัน โดยมีระยะฟักตัวเฉลี่ย 60-90 วัน บางรายอาจนานถึง 180 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ทานได้น้อย หลังจากนั้นจะมีอาการตาตัวเหลือง ปัสสาวะเข้ม เมื่อมาพบแพทย์และตรวจเลือดจะพบว่าค่าเอ็นไซม์ตับสูงขึ้น บางรายอาจสูงถึง1,000-2,000 ได้ ผู้ป่วยบางรายมีอาการรุนแรงเกิดจากเซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลาย อาจเกิดภาวะตับวายและเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นและหายไปภายใน 1-3 เดือน ผู้ป่วยบางส่วนประมาณร้อยละ 5-10 ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกไปได้และเข้าสู่ระยะติดเชื้อเรื้อรัง


2. ระยะเรื้อรัง การดำเนินโรคแบ่งได้เป็น  4 ระยะหลักๆ ดังนี้

2.1 Immune tolerant phase ผู้ป่วยมักจะได้รับเชื้อมาจากมารดา ระยะนี้จะมีปริมาณเชื้อไวรัสเป็นปริมาณมาก ค่าการทำงานของตับมักจะปกติ หากตรวจชิ้นเนื้อตับมักไม่พบการอักเสบหรือพังผืดในตับ


2.2 immune clearance phase ระยะนี้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเริ่มถูกกระตุ้นให้พยายามกำจัดเชื้อ ส่งผลให้เกิดตับอักเสบ ปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดจะยังอยู่ในระดับสูง ค่าเอ็นไซม์ตับ (ALT) สูงขึ้น ผู้ป่วยบางรายภูมิคุ้มกันสามารถควบคุมไวรัสได้ และโรคเข้าสู่ระยะสงบต่อไป แต่ผู้ป่วยบางรายการอักเสบอาจเกิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเกิดพังผืดในตับเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เกิดตับแข็งในเวลาต่อมาได้


2.3 Inactive phase ระยะนี้ปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดจะลดลงอยู่ในระดับต่ำมาก ค่าเอ็นไซม์ตับ (ALT) อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากผู้ป่วยผ่านจากระยะ 2 เข้าสู่ระยะ 3 ได้เร็ว พังผืดในตับหรือตับแข็ง เกิดขึ้นแล้วก็ได้


2.4 Reactive phase ระยะนี้ไวรัสในเลือดจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น จากที่เคยสงบก่อนหน้า ทำให้ตรวจบพการอักเสบ และพังผืดในตับเพิ่มขึ้น ค่า ALT มักสูงเป็นช่วงๆ สลับกับปกติ ผู้ป่วยตับอักเสบบีเรื้อรังไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระยะนี้ทุกราย พบมีผู้ป่วยระยะที่ 3 ประมาณร้อยละ 15 - 30. ที่เกิดการกำเริบเข้าสู่ระยะที่ 4


การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี


การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบี ทำได้โดยการตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี( HbsAg) และปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV DNA) ตรวจค่าการทำงานของตับ (Liver Function Test) ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังคือผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสปริมาณมาก และมีค่าการทำงานของตับผิดปกติ โดยมีค่าเอ็นไซม์ตับสูงขึ้นนานเกินกว่า 6 เดือน ส่วนผู้ป่วยที่เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี คือผู้ที่มีเชื้อไวรัสในร่างกายปริมาณน้อย และมีค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ ในรายที่ผลการตรวจเลือดไม่ชัดเจนและไม่สามารถวินิจฉัยได้ แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม เช่น การตรวจหาพังผืดในตับ (Fibro scan) หรือการตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver Biopsy) 



ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังรายใดบ้างที่ควรได้รับการรักษา


1. ผู้ที่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย (HbsAg+) และปริมาณเชื้อไวรัสมาก  (HBV DNA ) 


2. ผู้ที่ตรวจพบมีค่าเอ็นไซม์ตับสูงเกินกว่าค่าปกติ  2 เท่า


3. ผู้ป่วยที่ตรวจพบหลักฐานว่ามีพังผืดในตับปานกลางถึงมาก หรือมีภาวะตับแข็งร่วมด้วย


4. ผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจชิ้นเนื้อตับ และพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในเนื้อตับอยู่ในระยะที่สมควรให้การรักษา



การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี


เป้าหมายการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี คือ การยับยั้งการทำลายเซลล์ตับ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดตามมา เช่น ตับแข็ง ภาวะตับวาย และมะเร็งตับ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิต โดยพยายามลดปริมาณเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายให้เหลือน้อยที่สุดจนไม่สามารถตรวจนับได้ รวมถึงผู้ป่วยบางรายปริมาณเชื้อหมดไปจากร่างกาย และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ ยาที่ใช้รักษาในปัจจุบันมีทั้งชนิดฉีดและยารับประทาน การเลือกใช้ยาชนิดใดในการเริ่มรักษาแพทย์จะพิจารณาจาก ระดับเอ็นไซม์ตับ ปริมาณเชื้อไวรัส และการตรวจชิ้นเนื้อตับ เพื่อประเมินระยะของโรคโดยแพทย์จะเป็นผู้อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงประโยชน์และข้อจำกัดของยาแต่ละชนิดเพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสร่วมในการตัดสินใจเลือกชนิดการรักษา 



การปฏิบัติตัวขณะได้รับการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี


1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์โดยเคร่งครัด รับประทานยาหรือฉีดยาสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยา


2. ระหว่างรักษาแพทย์จะนัดตรวจเลือดหรืออัลตร้าซาวน์ตับเป็นระยะเพื่อติดตามการรักษา ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ 


3. งดบริจาคเลือด


4. แนะนำให้บุคคลใกล้ชิด สมาชิกในครอบครัว มาตรวจและฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี


5. งดดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด


6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ


7. หลีกเลี่ยงสมุนไพร อาหารเสริมต่างๆ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อน


เอกสารอ้างอิง Textbook of Gastroenterology : Diagnosis and Corrant Management. 2nd edition, 2565.


ข้อมูลอัพเดตเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Call Center : 0-5393-6900-1
Line iD : @sriphat




Facebook : SriphatMedicalCenter