ความรู้จากแพทย์ศรีพัฒน์

การฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ ใครว่าไม่จำเป็น


ผศ.นพ.ชัยเลิศ พงษ์นริศร

หัวหน้าหน่วยนรีเวชทางเดินปัสสาวะและอุ้งเชิงกราน      

ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

รหัสเอกสาร SD-HA-IMC-097-R-00

อนุมัติวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559




เรื่องที่คุณผู้หญิงควรรู้ ถ้ามีปัญหาเรื่องขับถ่ายปัสสาวะ



  1. การฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะคืออะไร ?


  2. คุณจะกลับมาควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะให้ดีเหมือนเดิมได้อย่างไร ?


  3. ทำอย่างไรเพื่อเอาชนะอาการปัสสาวะบ่อย ?


  4. ทำอย่างไรเพื่อเอาชนะอาการปวดปัสสาวะรีบและปัสสาวะเล็ดราด ?


  5. ทำอย่างไรให้ฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะประสบความสำเร็จ ?



บทนำ



      สตรีจำนวนมากประสบปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะในบางช่วงของชีวิต ปัญหาที่พบบ่อยๆ ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะรีบ และปัสสาวะเล็ดราด โดยทั่วไปถือว่าปัสสาวะบ่อยเมื่อคุณต้องถ่ายปัสสาวะเป็นจำนวนเกินกว่า 7 ครั้งต่อวัน หากคุณต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปถ่ายปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 1 ครั้ง เรียกว่า ภาวะปัสสาวะบ่อยกลางคืน (Nocturia) ส่วนอาการปวดปัสสาวะรีบ (Urgency) คือ ความรู้สึกปวดอยากถ่ายปัสสาวะอย่างมากที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและไม่สามารถรั้งรอต่อไปได้ ต้องรีบไปห้องน้ำทันที และถ้าคุณมีปัสสาวะเล็ดราดออกมาด้วยขณะที่มีอาการปวดปัสสาวะรีบนี้ เรียกว่า ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่



การฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะคืออะไร ?



     การฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ เป็นการฝึกฝนตนเองให้เลิกพฤติกรรมการขับถ่ายที่ไม่ดี และเรียนรู้พฤติกรรมการขับถ่ายที่ดี เพื่อให้สามารถกลับมาควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะของตนเองได้ แทนที่จะให้กระเพาะปัสสาวะเป็นตัวควบคุมคุณและชีวิตของคุณอีกต่อไป



ภาพที่ 1 กระเพาะปัสสาวะปกติ ที่มีน้ำปัสสาวะอยู่ครึ่งหนึ่งและอยู่ในสภาพผ่อนคลาย








ภาพที่ 2 ผู้ป่วยที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน มีน้ำปัสสาวะอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่อยู่ในสภาพหดรัดตัว ทำให้ปัสสาวะเล็ดราด





คุณจะกลับมาควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะให้ดีเหมือนเดิมได้อย่างไร ?


  1. โปรแกรมการฝึกควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะของกระเพาะปัสสาวะ จะช่วยให้คุณยืดช่วงเวลาระหว่างการเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งให้นานขึ้น ช่วยเพิ่มปริมาณความจุของกระเพาะปัสสาวะที่คุณจะกลั้นอยู่ได้ และช่วยคุณควบคุมความรู้สึกปวดปัสสาวะรีบเมื่อมีการหดรัดตัวของกระเพาะปัสสาวะในเวลาที่ไม่เหมาะสม การฝึกควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะจึงเป็นการฝึกฝนตนเอง ให้สามารถกลับมาควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้เช่นเดิม



  2. ส่วนหนึ่งของโปรแกรมนี้ คือ การเรียนรู้ที่จะเข้าใจถึงการสื่อสารที่กระเพาะปัสสาวะส่งมายังคุณ โดยคุณจะเรียนรู้ว่าสัญญาณใดบ้างที่ต้องรับฟัง และสัญญาณใดบ้างที่สามารถเพิกเฉยได้ นอกจากนั้น การฝึกควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะของกระเพาะปัสสาวะยังช่วยให้คุณจำแนกว่า เมื่อไรที่กระเพาะปัสสาวะมีน้ำปัสสาวะอยู่เต็ม และเมื่อไรที่ยังไม่เต็ม



  3. กระเพาะปัสสาวะของคุณอาจใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ เดือน หรือปี ค่อยๆ เกิดพฤติกรรมการขับถ่ายที่ไม่ดี ฉะนั้นคุณจึงไม่สามารถกลับมาควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้โดยทันที จำเป็นต้องอาศัยเวลา ความมุ่งมั่นและอดทนที่จะฝึกฝนควบคุมกระเพาะปัสสาวะให้มีพฤติกรรมการขับถ่ายที่ดี ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยจะเริ่มสังเกตเห็นถึงการพัฒนาที่ดีขึ้นภายในเวลา 2 สัปดาห์ แม้ว่าอาจต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน หรือนานกว่านี้ในการกลับมาควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะได้อีกครั้ง



ทำอย่างไรเพื่อเอาชนะอาการปัสสาวะบ่อย ?


  1. สำรวจไดอารี่การขับถ่ายกระเพาะปัสสาวะประจำวัน ว่าคุณเข้าห้องน้ำบ่อยแค่ไหน ในช่วงเวลากลางวัน ถ้าบ่อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมงต่อครั้ง คุณควรเริ่มต้นโดยค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาระหว่างครั้งให้นานขึ้น ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเข้าห้องน้ำบ่อยทุกๆ ชั่วโมง ให้เริ่มตั้งเป้าหมายของคุณไว้ที่ 1 ชั่วโมง 15 นาที หากคุณรู้สึกปวดปัสสาวะรีบก่อนเวลาที่คุณตั้งไว้ ให้ฝึกฝนที่จะควบคุมความรู้สึกนี้ และทำให้กระเพาะปัสสาวะรู้จักรอคอย โดยใช้แนวทางที่จะอธิบายต่อไป 



  2. เมื่อคุณสามารถกลั้นปัสสาวะได้จนถึงเวลาที่คุณตั้งไว้ และสามารถทำเช่นนี้ได้สำเร็จเป็นเวลา 3 - 4 วันต่อเนื่องกัน ให้ยืดเวลาระหว่างครั้งให้นานออกไปอีก ค่อยๆ เพิ่มเวลาเว้นห่างระหว่างการเข้าห้องน้ำนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณสามารถเข้าห้องน้ำบ่อยน้อยลง เป็นมากกว่าทุกๆ 2 - 3 ชั่วโมงในช่วงเวลากลางวัน



  3. พยายามที่จะเลิกการไปเข้าห้องน้ำแบบว่า “กันไว้ก่อนเผื่อว่าจะปวดปัสสาวะ” ยกตัวอย่าง คุณลองถามตัวเองว่าคุณจำเป็นต้องไปเข้าห้องน้ำทุกครั้งที่คุณจะออกจากบ้านจริงๆ หรือถ้าคุณเพิ่งไปมาเมื่อ 20 นาทีก่อนหน้านี้ เพราะว่าโดยปกติกระเพาะปัสสาวะสามารถจุได้ 400 มิลลิลิตร ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณเกือบ 2 ถ้วยแก้ว



สิ่งที่คุณควรรู้และทำก่อนที่จะเริ่มฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ


1. ก่อนอื่นคุณควรได้รับการตรวจสอบว่าไม่มีภาวะติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ซึ่งสามารถทราบได้โดยการเก็บปัสสาวะของคุณไปตรวจ ซึ่งกระทำได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งหรือคลินิกบางแห่ง


2. ลำดับถัดมา คือ การบันทึกไดอารี่การขับถ่ายปัสสาวะประจำวัน จากข้อมูลไดอารี่ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในแต่ละวันคุณขับถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้งแค่ไหน ปริมาณความจุของกระเพาะปัสสาวะที่คุณสามารถกลั้นได้เป็นเท่าไหร่  คุณดื่มเครื่องดื่มชนิดใดบ้าง ในปริมาณเท่าไหร่ และคุณถูกรบกวนจากอาการปวดปัสสาวะรีบและมีปัสสาวะเล็ดราดเพราะกลั้นไม่อยู่เพียงใด นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ไดอารี่การขับถ่ายปัสสาวะตอนเริ่มต้นก่อนรักษาเปรียบเทียบกับไดอารี่ภายหลังรักษาไปแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด


เวลา

ดื่มปริมาณปัสสาวะอาการปวดปัสสาวะรีบ

ปัสสาวะเล็ดและกิจกรรมขณะเล็ด

การเปลี่ยนผ้าอนามัย

การเปลี่ยนชุดชั้นใน

การเปลี่ยนชุดที่สวมใส่

06.00


300 ซีซี

X

ขณะลุกขึ้นจากที่นอน


X

07.00

น้ำชา 150 ซีซี







07.15


50 ซีซี






08.10


กาแฟ 150 ซีซี






ภาพที่ 3 ตัวอย่างบางส่วนของไดอารี่ของกระเพาะปัสสาวะ



ทำอย่างไรเพื่อเอาชนะอาการปวดปัสสาวะรีบและปัสสาวะเล็ดราด ?



        ลองใช้แนวทางฝึกฝนต่อไปนี้ เพื่อควบคุมอาการปวดปัสสาวะรีบ และฝึกให้กระเพาะปัสสาวะรู้จักรอคอย แล้วสังเกตว่าแนวทางใดได้ผลดีที่สุดสำหรับคุณ เพื่อคุณจะได้เลือกใช้ในยามที่คุณจำเป็น


  1. ขมิบกล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานให้แรงที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ และคงกล้ามเนื้อให้หดตัวค้างไว้ให้นานที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้เช่นกัน ให้ทำเช่นนี้ไปจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าอาการปวดปัสสาวะรีบหายไป นั่นคือคุณสามารถควบคุมอาการนี้ได้แล้ว อนึ่ง การขมิบกล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานจะช่วยรูดรัดบริเวณท่อปัสสาวะให้ปิดแน่น เพื่อกันไม่ให้ปัสสาวะเล็ดราดออกมา



  2. ขมิบกล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานแบบเร็ว โดยขมิบให้กล้ามเนื้อหดตัวแรงที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ แล้วหยุดขมิบให้กล้ามเนื้อคลายทันที ทำซ้ำๆ หลายครั้งติดต่อกัน ในสตรีบางคนวิธีนี้ได้ผลมากกว่าการขมิบให้กล้ามเนื้อหดแรงและรัดตัวค้างไว้



  3. กดที่บริเวณอวัยวะเพศภายนอก คุณสามารถทำได้โดยการไขว้ขาหรือนั่งบนพื้นผิวที่แข็ง การกดที่บริเวณอวัยวะเพศภายนอก เป็นการสื่อสารผ่านทางเส้นประสาทไปยังกระเพาะปัสสาวะ ให้รับรู้ว่าบริเวณทางออกของกระเพาะปัสสาวะยังปิดอยู่ ต้องรอคอยต่อไปก่อนที่จะขับถ่ายปัสสาวะออกมา



  4. พยายามเบี่ยงเบนจิตใจของคุณออกไปจากอาการปวดปัสสาวะรีบ ยกตัวอย่าง บางคนเริ่มนับถอยหลังจาก 100 ลงมา อย่างไรก็ดี วิธีการอื่นๆ ที่ช่วยดึงความสนใจหรือผ่อนคลายล้วนใช้ได้ดีทั้งสิ้น



  5. เปลี่ยนท่าของคุณ หากท่าทางนั้นช่วยลดความรู้สึกปวดปัสสาวะรีบลงได้ เช่น การนั่งโน้มตัวไปข้างหน้าอาจช่วยได้บ้างในบางคน



  6. อยู่นิ่งๆ เมื่อคุณมีอาการปวดปัสสาวะรีบ และต้องการควบคุมอาการนี้ เพราะว่าคุณจะไม่สามารถกลั้นและควบคุมอาการนี้ได้พร้อมๆ กับวิ่งไปห้องน้ำในเวลาเดียวกัน



  7. พยายามไม่รุกรี้รุกลนหรือผุดลุกผุดนั่ง เพราะการเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจทำให้ปัญหาแย่ลง



ทำอย่างไรให้ฝึกการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะแล้วประสบความสำเร็จ ?



     การฝึกควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะและการฝึกบริหารกล้ามเนื้อพื้นอุ้งเชิงกรานอย่างถูกต้อง ช่วยแก้ปัญหาในสตรีที่มีปัสสาวะเล็ดราดได้ 1 คนในทุกๆ 2 - 3 คน พึงระลึกว่าเมื่อคุณฝึกจนประสบความสำเร็จแล้ว คือ มีนิสัยการขับถ่ายที่ดีแล้ว คุณยังจำเป็นที่จะต้องฝึกนิสัยเช่นนี้ให้คงอยู่ไปตลอดชีวิต



ข้อแนะนำเพิ่มเติมที่ช่วยการควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ



     บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อาจช่วยให้คุณควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีขึ้น เช่น ถ้าคุณมีน้ำหนักตัวมาก มีโรคประจำตัวที่ทำให้ไอมาก (เช่น หอบหืด หลอดลมอักเสบ) หรือท้องผูก คุณควรแจ้งให้แพทย์ นักกายภาพบำบัดหรือผู้ดูแลทราบ เพราะทั้งหมดข้างต้นเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัสสาวะเล็ดราดแย่ลง ยาบางชนิดมีผลทำให้ควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ยากขึ้น คุณควรตรวจสอบกับแพทย์ที่ดูแลหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้


     

        ดื่มน้ำปกติ วันละอย่างน้อย 6-8 ถ้วยแก้ว (1,000-1,500 มิลลิลิตร) หากแพทย์ไม่ได้แนะนำเป็นอย่างอื่น อย่าพยายามหยุดดื่มน้ำเพียงเพราะคุณคิดว่ามันจะทำให้หายจากอาการปัสสาวะเล็ดราด เพราะว่าถ้าคุณดื่มน้อยเกินไปจะทำให้น้ำปัสสาวะเข้มข้นขึ้น แม้ว่าจะมีปริมาณน้ำปัสสาวะเพียงเล็กน้อยแต่ทำให้ระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะและทำให้รู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะบ่อย นอกจากนี้การขาดน้ำยังนำไปสู่การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

อย่าดื่มน้ำในคราวเดียวกันมากๆ คุณควรเฉลี่ยการดื่มของคุณให้กระจายออกตลอดทั้งวัน ถ้าคุณดื่มปริมาณมากๆ ในครั้งเดียว ย่อมคาดหวังได้เลยว่าคุณต้องไปห้องน้ำในเวลาไม่นานหลังจากดื่ม


 

     เครื่องดื่มบางประเภทมีผลระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ และทำให้คุณต้องไปห้องน้ำบ่อยๆ ได้แก่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เช่น กาแฟ น้ำชา โคล่า ช็อกโกแลต เครื่องดื่มชูกำลัง หรือน้ำอัดลม พยายามลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนลงให้เหลือเพียงวันละ 1-2 ถ้วยแก้ว


 
        หลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะว่าอาจทำให้คุณต้องลุกมาปัสสาวะตอนกลางคืน




12 มิถุนายน 2556

เอกสารอ้างอิง

International Urogynecological Association (IUGA). Bladder Training: A Guide for Women. 2011.


ข้อมูลอัพเดตเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2562

------------------------------------------------------------

สามารถติดตามช่องทางเพิ่มเติมได้ที่
• Call center : 0-5393-6900-1
• LINE Official : https://lin.ee/h3Wxyp3
• Facebook : https://bit.ly/2Kid6X9
• Youtube : https://bit.ly/3anQsH6
• Twitter : https://bit.ly/3eACDJ2
• Instagram: https://bit.ly/2VnrTGo
• Blockdit : https://bit.ly/2VqvL9D
• Website: http://sriphat.med.cmu.ac.th

หรือเพิ่มเพื่อนใน LINE ด้วยคิวอาร์โค้ด