ความรู้จากแพทย์ศรีพัฒน์

โรคเบาหวาน





อ.พญ.พิธพร วัฒนาวิทวัส

รหัสเอกสาร PI-IMC-020-R-00

อนุมัติวันที่ 22 มีนาคม 2561


โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คืออะไร


         โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ จากการที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ถ้าน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นเวลานาน จะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้



โรคเบาหวานเกิดจากอะไร


-    ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ หรือสร้างได้น้อยลง


-    อินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ หรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน


    ทั้งสองสาเหตุนี้ทำให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสูงกว่าปกติ


จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน อาการที่สงสัยจะเป็นเบาหวาน


-    ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะช่วงกลางคืน

   

-    คอแห้งกระหายน้ำ


-    หิวบ่อย อ่อนเพลีย กินจุแต่น้ำหนักลด


-    แผลเรื้อรัง หายยาก


-    าตามปลายมือปลายเท้า


-    ตามัว 


                                                                  

-    คันหรือมีผื่นเชื้อราตามผิวหนัง 


      


        เนื่องจากเบาหวานระยะแรกมักไม่มีอาการ หากไม่มีอาการข้างต้น แต่เป็นกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้ ควรมาตรวจหาเบาหวานเป็นระยะ


-    มีญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน


    มีประวัติเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ หรือเคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวแรกคลอดเกิน กิโลกรัม


-     มีโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด


-     มีโรคความดันโลหิตสูง


-     มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติ


-     มีโรคอ้วน (BMI ≥ 25 กก./ม.2)


-     มีกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่


-    อายุ 35 ปีขึ้นไป


-    เคยได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด พบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน คือระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร อยู่ระหว่าง 100 – 126 มก./ดล.


ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน หากปกติควรตรวจซ้ำทุกปี



การวินิจฉัยโรคเบาหวาน


-    ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย ชั่วโมง ตั้งแต่ 126 มก./ดล.ขึ้นไป


-    มีอาการเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อไม่ได้งดอาหาร ตั้งแต่ 200 มก./ดล.ขึ้นไป


-    ระดับน้ำตาลหลังดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม ตั้งแต่ 200 มก./ดล.ขึ้นไป


-    ระดับน้ำตาลสะสมตั้งแต่ 6.% ขึ้นไป



โรคแทรกซ้อนของเบาหวาน



    ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี จะเกิดภาวะแทรกซ้อนแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเป็นมากจนเกิดอาการมักจะยากที่จะรักษา ได้แก่


-    โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ


-    โรคหลอดเลือดสมองตีบ อันนำมาสู่อัมพฤกษ์ อัมพาต


-    โรคไตวายเรื้อรัง อาจต้องฟอกไต หรือเปลี่ยนไต


-     ปลายประสาทเสื่อม ทำให้ชาปลายมือปลายเท้า และอาจเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ


-     เบาหวานขึ้นตา


-     หลอดเลือดที่ขาและเท้าตีบ ทำให้เท้าเป็นแผลได้ง่าย และถ้าดูแลไม่ดีอาจถูกตัดขา



เมื่อเป็นโรคเบาหวานควรทำอย่างไร


        หากเราควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติอย่างต่อเนื่อง จะสามารถป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ดังนั้น คนที่เป็นเบาหวานควรปฏิบัติตัว ดังนี้


-     ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด


o  กินอาหารให้ตรงเวลา ครบ มื้อ และครบหมวดหมู่


o  หลีกเลี่ยงขนม ของหวาน น้ำตาล น้ำหวาน น้ำผลไม้


o  กินอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง


-    ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง โดยผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาเป็นเวลานาน ถ้าเริ่มออกกำลังกายควรปรึกษาแพทย์ก่อน


-    ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรลดน้ำหนักลง


-     รักษาด้วยยาเม็ดลดระดับน้ำตาล ยาฉีดที่ไม่ใช่อินซูลินหรือยาฉีดอินซูลิน โดยมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนการรักษาอย่างเหมาะสม


-    เรียนรู้โรคเบาหวานและดูแลรักษาสุขภาพตนเอง


o  ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ


o  ดูแลเท้าเป็นประจำ ตรวจเท้าด้วยตัวเองทุกวัน และตรวจเท้าโดยแพทย์ปีละครั้ง ถ้ามีแผลต้องรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ


o  ตรวจตาทุกปี


o  ตรวจน้ำตาลในเลือด เพื่อประเมินผลการควบคุมเบาหวานด้วยตนเองที่บ้าน


o  รักษาโรคอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง




ข้อมูลอัพเดตเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่