อ.พญ.ชนัดดา วงศ์เอกชูตระกูล
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
รหัสเอกสาร PI-IMC-400-R-00
อนุมัติวันที่ 12 ตุลาคม 2566
โรคกระดูกสันหลังเสื่อมคืออะไร มีสาเหตุจากอะไร
เมื่ออายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกสันหลังเหี่ยวและยุบตัวลง กระดูกสันหลังจึงหลวม กล้ามเนื้อหลังต้องออกแรงเกร็งมากขึ้น เพื่อไม่ให้กระดูกสันหลังเคลื่อนผิดปกติ เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อนานๆ จึงทำให้มีอาการปวดหลัง นอกจากนี้เพื่อรับมือกับความหลวมของข้อกระดูกสันหลัง ร่างกายจะสร้างกระดูกงอกที่ข้อกระดูกสันหลังเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของกระดูกสันหลัง กระดูกงอกนี้เองเป็นที่มาของคำว่า “กระดูกหลังเสื่อม”กรณีที่พบได้บ่อยคือ
- เมื่อกระดูกงอกออกจากข้อกระดูกสันหลัง อาจกดทับเส้นประสาทที่เรียกกันว่า “โรคกระดูกทับเส้น” หากเป็นกระดูกหลังเสื่อมอาจกดทับเส้นประสาทขา ทำให้มีอาการปวดหลังร้าวไปที่ขา และอาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงขาร่วมด้วยได้
- เมื่อกระดูกงอกเข้าด้านในโพรงไขสันหลัง จะทำให้โพรงไขสันหลังตีบแคบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดน่องหรือปวดขาทั้งสองข้างหลังจากเริ่มเดินได้ระยะทางไม่มาก ต้องนั่งพักอาการจึงจะดีขึ้น
แพทย์วินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังเสื่อมได้อย่างไร
โดยส่วนใหญ่ แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นหลัก อาจพิจารณาส่งภาพ ถ่ายรังสีกระดูกสันหลัง (Xray) การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าวินิจฉัยเพื่อประกอบการวินิจฉัยในบางรายเท่านั้น
แพทย์รักษาโรคกระดูกสันหลังเสื่อมอย่างไร
1. การรักษาด้วยยา เช่น ยาแก้ปวดทั่วไป ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดประสาทในผู้ป่วยที่มีอาการปวดทางระบบประสาทร่วมด้วย
2. การรักษาโดยไม่ใช้ยาประกอบด้วย จะพิจารณาในรายที่มีอาการปวดรุนแรง หรือมีอาการแสดงของการกดทับเส้นประสาท เช่น อ่อนแรงมาก หรือไม่สามารถกลั้นปัสสาวะ อุจจาระได้ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เป็นต้น
2.1 การปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน
- ควรหลีกเลี่ยงการแอ่นหลังรวมถึงการก้มยกของหนัก
- หากมีอาการปวดมากขึ้นในท่านอนอาจใช้หมอนรองใต้เข่าเมื่อนอนหงาย เพื่อลดการแอ่นหลัง หรือเปลี่ยนเป็นท่านอนตะแคง
- เมื่อนอนหงาย ควรตะแคงตัวก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
- เมื่อยืนนานๆ ควรพักเท้าข้างใดข้างหนึ่งบนเก้าอี้เตี้ยๆเพื่อลดการแอ่นของกระดูกหลัง ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดมากขึ้นได้ เป็นต้น
2.2 การบริหารร่างกาย ท่าที่แนะนำดังต่อไปนี้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยกระดูกหลังเสื่อม แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกสันหลังหากบริหารแล้วมีอาการปวดมากขึ้น ควรหยุดบริหารและปรึกษาแพทย์- ท่า Knee to chest
ควรสอดมือใต้เข่าข้างใดข้างหนึ่งและกอดขาชิดอก ขาอีกข้างเหยียดตรง ค้างไว้ 20-30 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง
- ท่า Semi-sit up
ควรชันเข่าสองข้าง ยกศีรษะ เอื้อมมือลอยเหนือเข่า ค้างไว้5-10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ควรนับออกเสียงเพื่อป้องกันการเบ่งกลั้นหายใจ
- ท่า Hamstrings stretching
พาดขาข้างใดข้างหนึ่งบนฝาผนัง ควรจัดท่าให้เข่าเหยียดตรง กระดกข้อเท้าขึ้น หากทำถูกต้องควรมีความรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ค้างไว้ 20-30 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ควรทำทีละข้าง อาจทำที่ช่องประตูเพื่อให้ขาอีกข้างเหยียดตรงที่พื้นได้
2.3 กายอุปกรณ์สำหรับกระดูกสันหลัง เช่น สายรัดหลัง เพื่อเพิ่มความดันในช่องท้อง เพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลังได้เล็กน้อย ควรใช้ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์
- ควรเลือกขนาดสายรัดหลังให้เหมาะสม โครงเหล็กด้านหลังจะช่วยเพิ่มความมั่นคงของสายรัดหลัง ควรปรับให้โครงเหล็กแนบพอดีกับหลัง
- สายรัดควรอยู่เหนือสะโพกเพียงเล็กน้อยและควรใส่ให้กระชับ โดยเฉพาะเมื่อต้องนั่งหรือยืนเดินนานๆ แต่ก็ไม่ควรใส่สายรัดหลังตลอดเวลา จะทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนแรงมากขึ้น
- ในผู้ป่วยบางรายที่กระดูกสันหลังหลวม แพทย์อาจพิจารณาใช้กายอุปกรณ์สำหรับกระดูก สันหลังที่ทำด้วยโลหะที่มีน้ำหนักเบา เพื่อเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง
2.4 วิธีการทางกายภาพบำบัด เช่น
- หัตถบำบัดที่นิยมใช้รักษาอาการปวดหลังได้แก่การนวด (massage), การดัด (manipulation) และการขยับ (mobilization)
- การประคบร้อน หรือการนวดความร้อนลึกจากเครื่องอัลตราซาวด์, การใช้ไฟฟ้าบำบัด, แสงเลเซอร์บำบัด หรือคลื่นกระแทก (Shock wave therapy) เพื่อคลายกล้ามเนื้อหลัง ลดอาการปวด
3. การทำหัตถการ เช่น
- การใช้เข็มเพื่อลดอาการปวดหลัง มีทั้งการฝังเข็ม (แผนจีน) และการลงเข็มเพื่อคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด (แพทย์แผนปัจจุบัน)
- การฉีดสเตียรอยด์เข้าช่องนอกชั้นดูร่า (EDSI) โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
4. การผ่าตัด จะพิจารณาในรายที่มีอาการปวดรุนแรง หรือมีอาการแสดงของการกดทับเส้นประสาทเช่นอ่อนแรง หรือกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ หรือ ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เป็นต้น
โดยสรุป หากมีอาการที่ตรงกับโรคกระดูกหลังเสื่อมและอาการไม่รุนแรงมาก อาจเริ่มต้นด้วยการปรับท่าทางในชีวิตประจำวันและการบริหารร่างกายก่อน ยกเว้นในรายที่มีอาการปวดรุนแรง มีอาการชาหรืออ่อนแรงหรือกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่ได้ หรือยังไม่ทราบการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน หรือบริหารร่างกายเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู หรือศัลยแพทย์กระดูก เพื่อช่วยวินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป
สอบถามเพิ่มเติมที่ คลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟู หมายเลขโทรศัพท์ : 053-934613, 053-934434
ข้อมูลอัพเดตเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Call Center : 0-5393-6900-1
Line iD : @sriphat
หรือ เพิ่มเพื่อนใน LINE ด้วยคิวอาร์โค้ด
Facebook : SriphatMedicalCenter