ความรู้จากแพทย์ศรีพัฒน์

การรักษาด้วยสเตียรอยด์ : คุณประโยชน์ VS ผลข้างเคียง ตอนที่ 1


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

(Taninnit Leerapun, MD, MS, MBA)

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ

รหัสเอกสาร PI-IMC-124-R-00

อนุมัติวันที่ 23 เมษายน 2563



ฉีดยาสเตียรอยด์แล้ว มีผลนานเท่าไหร่ ฉีดได้บ่อยเท่าไร่  ฉีดยาสเตียรอยด์มีปัญหา หรือภาวะแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง อันตรายหรือไม่

      การ ใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาอาการปวดหลัง หรืออาการปวดหลังร้าวลงขานั้น สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาพยาบาลนั้นคือการวินิจฉัยโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่อย่างถูกต้องแม่นยำก่อน จึงนำมาสู่การรักษาพยาบาลที่ถูกต้อง  การรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์นั้นได้ผลดีมากในการลดอาการปวดในระยะประมาณ 1-3 เดือน ในผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมและมีการกดทับเส้นประสาท  นอกจากนี้ การตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทนั้นขึ้นอยู่กับ



1. ระดับความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาทจากภาวะเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง 



2. ลักษณะการทำงานของผู้ป่วยและพฤติกรรมของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยยังคงกลับไปทำงาน ยกของหนัก และนั่งกับพื้น ซักผ้า ปลูกต้นไม้ หรือยกของไม่ถูกวิธี ก็จะทำให้อาการปวดหลังไม่สามารถหายได้ อาการอาจจะดีขึ้นเฉพาะในช่วงที่ฉีดยา หรือรับประทานยาเท่านั้น 



      มีผู้ป่วยจำนวนมากก็จะบอกว่า "ห้ามทำไปหมดทุกอย่างเลยเหรอ"  อันที่จริงแล้วร่างกายของเราเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น ก็เกิดการเสื่อมไปตามกาลเวลา บางครั้งเราเคยก้มยกของหนัก ทำงานหนัก นั่งกับพื้นได้ในวัยเด็ก และวัยรุ่นก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เรายังทำพฤติกรรมแบบเดิมมักจะมีอาการปวดหลัง ก็เนื่องมากจากกระบวนการเสื่อมของร่างกาย การยืดหยุ่น รองรับน้ำหนักของหมอนรองกระดูกลดลง กระดูกอ่อนที่บริเวณกระดูกข้อต่อมีการสึกหรอทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกเพิ่มมากขึ้น เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเส้นประสาท จึงส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาร้าวลงขาด้วย และชาบริเวณหลังเท้าและส้นเท้า เปรียบเสมือนกับอายุ 60 ปี เราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปที่อายุ 30 ปีได้ เฉกเช่นเดียวกับร่างกายของคนเรา เมื่อเกิดการเสื่อมของกระดูกและข้อ ก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปให้แข็งแรงเหมือนกับวัยหนุ่มสาวได้ แต่เราสามารถชะลอ ป้องกันได้ไม่ให้เกิดการเสื่อมไปมากกว่าเดิม ซึ่งก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และปรับการทำงานของผู้ป่วยนั่นเอง


        รูปภาพเปรียบเทียบการเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง ภาพซ้ายจะเห็นหมอนรองกระดูกสันหลังมีความสูงปกติ เปรียบเทียบกับภาพขวามือที่พบว่าความสูงของหมอนรองกระดูกสันหลังลดลง ร่วมกับมีการเสื่อมของกระดูกข้อต่อ ทำให้ช่องทางเดินประสาทแคบลง ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจึงมักมีอาการปวดหลัง และปวดร้าวหรือชาร้าวลงขา โดยเฉพาะที่บริเวณน่องของขาข้างนั้น 

       

        คนส่วนใหญ่มักจะกังวลถึงผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาพยาบาล หรือฉีดเฉพาะที่ เพราะได้ยินมานานเกี่ยวกับผลเสียของการใช้ยา สเตียรอยด์ อันที่จริงแล้วการใช้ยาทุกชนิดเปรียบเสมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน ยาทุกชนิดก็เหมือนกันที่มีทั้งคุณประโยชน์ และผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา ขึ้นอยู่กับความรู้และความชำนาญของผู้ใช้ โดยปกติแล้วในทางการแพทย์ ยาสเตียรอยด์นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมากที่นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยในโรคต่างๆ มากมาย ยาสเตียรอยด์เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด ลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี ถ้าใช้อย่างถูกต้องและไม่เกินปริมาณที่ร่างกายสามารถรับได้ก็ไม่ได้เกิดผลข้างเคียงตามมาอย่างที่คนกลัว



       

        ในการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดเฉพาะที่ โดยปกติมักจะฉีดไม่เกิน 3 - 5 ครั้ง อันเนื่องมาจากว่าถ้าฉีดรักษามากกว่านี้แสดงว่าการฉีดยาอาจจะไม่ได้ผล และโรคที่เป็นนั้นมีระดับรุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด และอีกประการหนึ่งคือการฉีดยาเฉพาะที่ ในบางครั้งทำการฉีดเข้าไปโดย ตรงที่ตำแหน่งที่ปวด โดยไม่ทราบว่าตำแหน่งที่ฉีดนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่น บางครั้งอาจมีการฉีดยาเข้าไปในเส้นเอ็นหรือเส้นประสาทของผู้ป่วย จึงมีผลทำให้เส้นเอ็นฉีกขาดได้ง่าย  ดังนั้นในปัจจุบันที่มีการนำเครื่องเสียงความถี่สูงมาช่วยในการระบุตำแหน่งของการฉีดยา จะช่วยทำให้แพทย์ผู้รักษาสามารถระบุถึงตำแหน่งที่จะฉีดยาได้ แม่นยำมากขึ้น จึงลดผลข้างเคียงของการฉีดยาลงได้ และใช้ปริมาณยาชาในปริมาณที่ลดลง




          


     







        โดยส่วนใหญ่ ผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์ มักเกิดจากผู้ป่วยไปซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งยาสเตียรอยด์นี้ มักจะผสมอยู่ในรูปของยาสมุนไพรพื้นบ้าน ยาจีน ซึ่งมักจะระบุว่าเป็นยารักษาสารพัดโรค ส่วนใหญ่เวลารับประทานยากลุ่มนี้แล้ว อาการปวดมักจะหายไปทันที ผู้ป่วยจึงมักไปซื้อยามารับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจึงเกิดผลเสียต่างๆ มากมายตามมา อาทิเช่น การเกิดโรคกระดูกพรุน ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ เกิดอาการบวมตามร่างกาย บางครั้งอาจเกิดกระดูกหัวสะโพกตาย อันเนื่องมาจากการใช้ยาสเตียรอยด์มาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคพุ่มพวง (SLE) ซึ่งบางครั้งแพทย์จำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาเป็นระยะเวลานาน เพื่อควบคุมอาการโรค  


    การใช้ยาสเตียรอยด์อาจจะมีผลต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน อาจจะทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นได้ และอาจมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งมักจะเป็นชั่วคราวประมาณ 2 สัปดาห์ นอกจากนี้การฉีดยาสเตียรอยด์อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการสะอึกได้ พบไม่มาก และมักจะเป็นประมาณ 3 วันหลังฉีดยา



    สิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันอาการปวดหลัง คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้แก่ การนั่งกับพื้น การก้มยกของที่ไม่ถูกวิธี การนอนคว่ำ การนั่งเก้าอี้ต่ำๆ เช่น การนั่งซักผ้า การนั่งทำอาหาร หรือการนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง จะทำให้น้ำหนักของร่างกายส่วนใหญ่กระทำต่อกระดูกสันหลังบริเวณเอว ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อ มีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งวิธีการบริหารหลัง

 


ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Call Center : 0-5393-6900-1
Line iD : @sriphat